#พระฤาษีกไลยโกฎิ ฤาษีหน้ากวาง
ฤาษีกไลโกฏ
ประวัติท่านโดยย่อครับ
พระฤาษีกไลโกฏ เป็นบุตรของพระมุนีอิสีสิงค์ เมื่อก่อนท่านมีหน้าเป็นมนุษย์ปกติ ท่านได้บำเพ็ญพรตอยู่ในป่า เมืองพัทวิสัย
บำเพ็ญพรตมานาน ไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน บิดาที่เป็นทั้งพ่อและอาจารย์ได้สั่งตักเตือนกับพระฤาษีกไลโกฏ
ว่า "อย่าจับต้องสัตว์เขาอ่อน สัตว์ที่มีเขาอยู่บนอก" ท่านบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า จนฝนตกต้องไม่ตรงฤดูกาลถึง ๓ ปี
ร้อนไปถึงท่านเจ้าเมืองท้าวโรมพัตตัน จึงได้ให้พระธิดาชื่อ นางอรุณวดี ไปทำลายตบะโดยการกอด ลูบไล้
พระฤาษีกไลโกฏ ลืมคำบิดาได้เผลอจับอกนางอรุณวดี ท่านติดใจในกามรสจึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองพัทวิสัยกับชายา
หลังจากนั้นฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลและหน้าท่านก็กลายเป็นหน้าเนื้อ
เหมือนกับที่เห็นในรูปเคารพในปัจจุบัน
ไม่เคยเห็นรูปสตรี มีความสงสัยก็พิศดู
เห็นเขาติดอกเคร่งครัด ดังปทุมตูมเต่งทั้งคู่
สัตว์นี้เป็นไฉนจึงไคร่รู้ เข้าประคองตองเต้าสุมนณฑา
กายาแนบเนื้อดวงสมร ให้เกิดประดิพัทธ์อาวรณ์
ถึงไม่มีผู้สอนก็เป็นไป .............................
พระฤาษีองค์นี้มีลักษณะพิเศษคือ เป็นพระฤาษีหน้าเนื้อ นับเป็นมหาฤาษีผู้ทรงตบะสูงส่งท่านหนึ่ง ท่านมีนามในตำราต่างๆ ว่า พระฤาษีฤษยะสฤงค์ หรือ พระฤาษีอิสีสิงค์ ตามตำราว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีพิภาณฑกมุนี และเป็นหลานของ พระฤาษีกาศยปมุนีซึ่งเป็นหนึ่งในฤาษีที่ทำพิธีอัศวเมธ เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพระฤาษีกไลยโกฏิองค์นี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลฤาษีโดยแท้
พระฤาษีกไลยโกฏิเกิดในป่าศาลวัน แคว้นองคราษฎร์ ซึ่งอยู่ในเขตเมืองพัทวิสัยของท้าวโรมพัตตัน (บางตำราว่า ท้าวโลมบาท) ผู้เป็นบิดาสั่งสอนไว้ว่าให้ระวังวัวเขาอ่อน มันมีเขาขึ้นบนอก เขามันแปลกเพราะว่าแทนที่จะแข็งกลับนิ่ม พูดง่ายๆ ก็คือ ให้ระวังผู้หญิง แต่พูดเป็นปริศนาธรรมไปหน่อย พระฤาษีกไลยโกฎิเกิดในป่าโตในป่า ไม่เคยเห็นเพศตรงข้าม จึงไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร ก็ได้แต่บำเพ็ญเพียรภาวนาจนบรรลุฌานสมาบัติตามลำดับ
พระฤาษีกไลยโกฎิสามารถนั่งนิ่งไม่ขยับกาย จิตดิ่งอยู่ในฌานเช่นนั้นโดยไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องกินน้ำ ก็สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจจิตที่มีพลังงานมหาศาล จนได้ฌานสมาบัติสูงมาก มีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวง แต่การบำเพ็ญตบะฌานอันสูงส่งนี้กลับก่อความเดือดร้อนแก่เมืองพัทวิสัย เพราะด้วยเดชความแรงกล้าของฌานสมาบัติ ซึ่งมีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวงนั่นเอง ทำให้บ้านเมืองที่พระฤาษีกไลยโกฎเข้าฌานนั้นเกิดวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลถึง ๓ ปี เกิดความแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่ว
ท้าวโรมพัตตันตั้งพิธีบวงสรวงเทวดาถึงเจ็ดเดือนเจ็ดวัน ฝนก็ยังไม่ตก จึงให้โหรหลวงทำนาย (บางตำราว่าได้ข่าวจากนายวันจรกพรานป่า) ทรงทราบว่า เหตุที่ทำให้ฝนแล้งอยู่เป็นปีๆ นี้ ก็เพราะตบะฌานของพระฤาษีกไลยโกฎินั่นเอง คือในอินเดียสมัยโบราณนี่นะครับ ถ้าปีไหนเกิดแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาจะลงความเห็นว่าเกิดจากฤาษีตนใดตนหนึ่งบำเพ็ญตบะเข้มเกินไป จนเกิดเตโชธาตุออกมาเผาผลาญให้อากาศร้อนไปหมด จึงต้องหาทางทำลายตบะฤาษีตนนั้นให้แตก ฝนจะได้ตกตามปกติ
ท้าวโรมพัตตันจึงเสด็จไปยังป่าศาลวัน สั่งให้ทหารปลูกพลับพลาให้เป็นที่อยู่ของพระธิดาที่งดงามที่สุด คือ พระนางศานตา หรือ พระนางอรุณวดี แล้วส่งพวกนางโลมไปหลอกล่อพระฤาษีกไลยโกฏิออกมายังพลับพลาของพระนางศานตา
แต่บางตำราว่า พระนางศานตาเข้าไปถึงอาศรมของพระฤาษีด้วยตนเองครับ เมื่อเห็นท่านนั่งนิ่งเข้าฌานอยู่ก็บีบนวดเคล้าคลึง เอาน้ำผึ้งไปทาริมฝีปาก เมื่อกระทำมากเข้าพระฤาษีกไลยโกฎิก็ออกจากฌานสมาบัติ ลืมตาดู เมื่อเห็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และได้รับการนวดการสัมผัสบีบคลำ ตัณหาภายในใจก็ฟุ้งขึ้น ที่สุดตบะเดชะที่บำเพ็ญไว้ก็เสื่อม ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็กลับอุดมสมบูรณ์
ท้าวโรมพัดตัน ได้กล่าวกับพระฤาษีกไลยโกฏิว่า การเสียตบะฌานอันแรงกล้าของพระฤาษี กลับกลายเป็นการ“ช่วยชีวาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งอุปัทวันอันตราย จะหายด้วยบุญพระอาจารย์” และได้ยกพระราชธิดาให้ รวมทั้งได้อัญเชิญพระฤาษีให้ออกจากป่าเข้าสู่เมืองพัทวิสัยของพระองค์ ให้เข้าไปอยู่ในพระราชฐาน โดยถวายปราสาทหลังหนึ่ง พระฤาษีกไลยโกฏิก็ได้อยู่ในมหาปราสาทนั้นต่อมาด้วยความผาสุก
แต่ในอีกตำนานหนึ่งเล่าแตกต่างออกไปว่า เมื่อพระฤาษีกไลยโกฎิล่วงรู้ความจริงว่าท้าวโรมพัตตันส่งพระธิดามาทำลายตบะแล้ว ก็หนีหายเข้าไปในป่าลึกไปบำเพ็ญตบะใหม่ จนมีฤทธิ์กล้าเหมือนเดิม และเลิกสนใจในอิสตรีแต่นั้นมา เพราะล่วงรู้ถึงพิษสงที่โดนเข้าแล้วเป็นอย่างดีครับ

#คาถาบูชา พระฤาษีกไลยโกฎิ
นะโมกะไลยโกฏิ มะหามุนิโน สุระตะปะ ฌานะธะรัสสะ สุจะริ
ตะชะนานัง สัพพะสิทธิทายะกัสสะ มะนุสสาเทวานัง วะระคุณะธะระ
มหามุนิโนติ ปาฎะกัสสะ
นะโมกะไลยโกฏิ มะหามุนิโน สุระตะปะ ฌานะธะรัสสะ สุจะริ
ตะชะนานัง สัพพะสิทธิทายะกัสสะ มะนุสสาเทวานัง วะระคุณะธะระ
มหามุนิโนติ ปาฎะกัสสะ
นะโมกะไลยโกฏิ มะหามุนิโน สุระตะปะ ฌานะธะรัสสะ สุจะริ
ตะชะนานัง สัพพะสิทธิทายะกัสสะ มะนุสสาเทวานัง วะระคุณะธะระ
มหามุนิโนติ ปาฎะกัสสะ
อะหังตัง วันทามิ ตุมเห โน กายะพะลัญจะ จิตตะพะลัญจะ
สัพพะสิทธิญจะ เทถะ